บอร์ดบีเจซีอนุมัติให้เสนอผู้ถือหุ้นขอเพิ่มทุน
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติการปรับโครงสร้างเงินลงทุนของบริษัทฯ โดยในการปรับโครงสร้างเงินลงทุนนั้น จะประกอบด้วยการเพิ่มทุนหุ้นสามัญ จำนวน 2,400 ล้านหุ้น และการออกหุ้นกู้ และ/หรือ เงินกู้ระยะสั้นในวงเงินไม่เกิน 130,000 ล้านบาท หรือในสกุลเงินอื่นในจำนวนที่เทียบเท่า ทั้งนี้ วงเงินรวมของหุ้นกู้และวงเงินสินเชื่อ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งจะไม่เกินจำนวน 130,000 ล้านบาท (ไม่นับรวมวงเงินหุ้นกู้และวงเงินสินเชื่อกลุ่มบริษัทในปัจจุบันในส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสินเชื่อที่กลุ่มบริษัทใช้ในการเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จากัด (มหาชน) และกิจการที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้ แผนการปรับโครงสร้างเงินลงทุนดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 มิถุนายน 2559 ณ อาคารเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ โดยวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2559 และวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 9 มิถุนายน 2559 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติ 7 หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 10 มิถุนายน 2559
ในการเพิ่มทุนหุ้นสามัญ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 800,000,000 หุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามราคาที่คณะกรรมการบริษัทกำหนด โดยจะเป็นราคาเสนอขายหุ้นตามราคาตลาดในราคาที่ดีที่สุดในช่วงที่เสนอขายหุ้นต่อผู้ลงทุน และราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 35 บาท และ (2) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,600,000,000 หุ้น และจำนวนหุ้นที่เหลือจากการจองซื้อหุ้นของบุคคลในวงจำกัด ตามข้อ (1) (ถ้ามี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering) โดยการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในคราวแรก บริษัทฯ กำหนดสัดส่วนการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 35 บาท (คิดเป็นส่วนลด 7.3% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559
ในการนี้ บริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น”) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ได้แสดงความจำนงที่จะจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นของตน และในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการจองซื้อสำหรับการเสนอขายในแต่ละคราว ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น อาจจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินส่วน จนกว่าจะไม่มีหุ้นเหลือจากการจัดสรรอีกตามความจำเป็นในการใช้เงินทุนของบริษัท แต่ในกรณีที่การจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินส่วนดังกล่าว ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทของ ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น ข้ามจุดที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการภายใต้ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการครอบงำกิจการ ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จะจองซื้อหุ้นสามัญเกินส่วนข้างต้นภายใต้เงื่อนไขว่า ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น ได้รับผ่อนผันหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว
ทั้งนี้ในการเพิ่มทุนหุ้นสามัญ บริษัทมีแผนในการจัดหาเงินทุนในวงเงิน 130,000 ล้านบาท โดยการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และออกตราสารหนี้
ด้วยความพยายามในการระดมทุนทั้งหมดในครั้งนี้ ทั้งในรูปแบบของเงินกู้จากสถาบันการเงิน การเพิ่มทุนหุ้นสามัญ การออกหุ้นตราสารหนี้ เงินที่เพิ่มขึ้นจากการปรับโครงสร้างเงินทุน จะนำไปใช้ในการชำระหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้นที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการของบิ๊กซี การลดสัดส่วนของหนี้สินครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทมีสภาพคล่อง และมีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะลงทุนในอนาคต
การปรับโครงสร้างเงินลงทุนของบริษัทฯ หลังจากการเข้าทำรายการและภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ ส่งผลให้บริษัทฯ เป็นเจ้าของหุ้นทางอ้อม 97.9% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบิ๊กซี
บิ๊กซี เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาด 43% บิ๊กซีมีเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ ประกอบด้วย ไฮเปอร์มาร์เก็ต 125 สาขา ซุปเปอร์มาร์เก็ต 55 สาขา ร้านสะดวกซื้อ 391 สาขา และร้านขายยาเพรียว 163 สาขา บนพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งหมด 778,000 ตารางเมตร